18 เม.ย. 2554

สงกรานต์นี้ที่น่าน...

ในช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา
เราได้มีโอกาสแวะไปเที่ยวเมืองน่าน
คราวนี้เราเดินทางโดยรถยนต์คู่ใจ (พี่บึกบึน) ออกจาก กรุงเทพประมาณเที่ยงครึ่งของวันที่ 12 เม.ย.54
เนื่องจากติดประชุมช่วงเช้า
การจราจรคล่องตัว รถมาก
เราแวะทานข้าวกลางวันที่แม่ลาปลาเผาริมถนนสายเอเชีย (เพื่อไม่ให้เสียเวลา)
จากนั้นเดินทางเข้าสู่นครสวรรค์ ผ่านไปพิจิตร ถนนค่อนข้างชำรุด
ผ่านพิษณุโลกไปยังอุตรดิตถ์ ถนนตรงยาวมากกกจนข้างทางมีป้ายเขียนว่าระวังหลับใน
เริ่มหิวข้าวแต่ก็ผ่านร้านลมเย็นไปซะแล้ว และคงจะไม่ย้อนกลับ
ทางระหว่างอุตรดิตถ์ไปแพร่กำลังปรับปรุงถนนช่วงระหว่างเขา
ที่สุดเราแวะทานข้าวเย็นกันที่แพร่ เป็นร้านก่อนเข้าเมือง สั่งออเดริฟเมือง แกงฮังเล อาหารรสชาติโอเค
แล้วก็ตรงเข้าเมืองน่าน
น่านไม่ใช่เป็นเมืองผ่านแบบจังหวัดอื่นทั่วไป คือจากแพร่จะมีแยกขวาไปน่าน แยกซ้ายจะไปพเยาว์และเชียงราย
ถนนเป็นเลนสวนกัน ทางค่อนข้างคดเคี้ยว แต่ไม่ชัน ขับเรื่อยๆ
เที่ยวแบบเราไม่ได้จองที่พักล่วงหน้า แต่ได้หาข้อมูลไว้ก่อนแล้ว จึงโทรไปลองดูว่าที่พักว่างหรือไม่
เราโทรไปที่พักชื่อจันทร์แดงเกสต์เฮาส์ ซึ่งได้สำรวจในอินเตอร์เน็ตมาเป็นเกสต์เฮาส์แบบไทยๆ คล้ายๆ พักบ้านญาติมีเพียง 7 ห้องเท่านั้น
อยู่บน ถ.สุมนเทวราช อ.เมือง (ถนนหลักของเมืองน่าน)
โทร : 086-9986522, 054-771417



 เราโชคดีมากที่มีห้องว่างให้เนืี่่องจากคนที่จองมามาไม่ทัน
คุณป้าดำเจ้าของเป็นคนรับโทรศัพท์ เป็นคนบอกทางและรอจนกว่าเราไปถึง
คุณป้าน่ารักมาก เป็นกันเองสุดๆ
ด้านหลังมีที่จอดรถได้ประมาณ 3 คัน และคุณป้ากำลังขยายกิจการ สร้างบ้านด้านหลังเพิ่มอีก
หากมาหน้าหนาวหน้าคงจะได้พักกัน
ห้องนอนน่ารักมาก ประตูมี 2 บานมีไม้ขัดตรงกลาง
มีห้องน้ำในตัว แอร์ ตู้เย็น TV WiFi และอาหารเช้าให้
ราคา 1000 บาทต่อคืน หากเป็นห้องด้านหน้าจะมีระเบียงให้ออกมานั่งเล่นด้วยราคา 1200 บาท
อีกห้องสามารถพักได้ 6 คนมีเตียง 2 ชั้นด้วย


 ห้องน้ำภายในห้อง
 ระเบียง
 อาคารด้านหลัง
มีจักรยานให้ด้วย
หรือจะเป็น... 55555


เช้าวันสงกรานต์เรามีแผนว่าจะอยู่ในเมืองเพื่อถ่ายรูป และไหว้พระตามวัดต่างๆ ในเมือง
นอกจากนั้นคุณป้าบอกว่ามีงานบุญที่วัด และมีขบวนแห่นางสงกรานต์
และแล้วได้ยินฝนตกตั้งแต่เช้ามึด เฮ่อ ฟ้าฝนไม่เป็นใจซะเลย
ว่าจะไปตักบาตรฝนกระหน่ำอย่างนี้นอนต่อละกัน
กว่าฝนจะซา ก็ 9 โมงลงมาทานอาหารเช้า มีน้ำเต้าหู้ โจ๊ก ชา กาแฟ มาม่า ผลไม้ไว้ให้

หน้าบ้านคุณป้าเตรียมถัง 200 ลิตรไว้ใส่น้ำเล่นสงกรานต์อีกต่างหาก
อีกสักรูป จากด้านหลัง


เช้านี้เราไปวัดสวนตาลก่อน เนื่องจากมีตักบาตร สรงน้ำพระ/เจดีย์แต่เช้า
มีทั้งผู้เฒ่าผู้แก่ ครอบครัว ต่างแต่งตัวด้วยชุดเมืองมาทำบุญกัน
ดีใจอยากให้อนุรักษ์วัฒนธรรมอย่างนี้ไว้นานๆ


จากนั้นเราไปเริ่มกันที่ข่วงเมืองหน้าวัดภูมินทร์กัน
ข่วงเมือง = บริเวณที่โล่งหรือลานกว้างของเมืองใช้ประกอบพิธีการต่างๆ ของเจ้าเมืองน่าน
ในสมัยโบราณ ซึ่งบางครั้งใช้เป็นที่แลกเปลี่ยนสินค้า

ด้านนอกของวัดภูมินทร์ มีสิงห์คู่
ภายในโบสถ์สามารถเดินรอบพระประธาน ซึ่งมี 4 หน้า
มีภาพจิตรกรรมฝาผนังอายุนับร้อยปี เกี่ยวกับการทำบาปต่างๆ จะต้องได้รับกรรมแบบใด
ที่สำคัญมีรูปปู่ม่านกระซิบรักย่าม่าน ซึ่งเป็นตำนานรักของชาวน่าน ให้รักกันยืนนานตลอดไป
ออกมาจากวัดูมินทร์เจอร้านกาแฟบ้านคุณหลวงอยู่ฝั่งตรงกันข้าม เลยแวะดื่มสักหน่อย
จากนั้นข้ามถนนไปยังวัดพระธาตุช้างคำวรวิหาร
อีกฝั่งถนนเป็นพิพิธภัณฑ์ของจังหวัด ด้านในจะมีงาช้างดำสิ่งคู่บ้านคู่เมืองน่าน
ซึ่งปิดช่วงสงกรานต์ ก็เลยอดเข้าไปดู แต่ขอพี่ยามเข้าไปถ่ายรูปเนวต้นลั่นทมแทน
ถ่ายไปถ่ายมาพวกคุณลุงคุณป้าเค้ามาตั้งขบวนสงกรานต์ตรงนี้ ก็เลยหยุดอยู่ถ่ายรูปกันตรงนี้เลย
ได้ภาพป้าๆ รำกัน นางงามที่เตรียมขึ้นประกวดใส่รองเท้าส้นสูงปรื๊ด เดินกระย่องกระแย่ง ดีจังเค้ายังอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีอยู่อย่างดี รอจนเค้าเริ่มเดินขบวน จะถ่ายรูปก็ต้องระวังกล้องมากๆ อย่าเข้าไปในฝูงชนมาก กล้องอาจจมน้ำได้
ถ่ายเสร็จท้องชักจะเริ่มร้อง ไปหาอะไรทานกันดีกว่า สงกรานต์ร้านปิดไปเล่นน้ำกันเกือบหมด รถในเมืองก็ติดอย่าบอกใครเชียว
แต่โชคยังช่วยได้ข้าวซอยร้านแถวๆ สี่แยกช้างเผือกช่วยชีวิต (ไม่อยากบอกข้าวซอยเนื้อรสดีเชียว)
และไปต่อกันทีวัดที่ผู้คนนับถือและศรัทธามาก  และสำคัญที่สุดของน่าน หากไม่ไปถือว่ามาไม่ถึงน่าน คือวัดพระธาตุช่อแฮ ซึ่งเป็นพระธาตุประจำปีของคนเกิดปีเถาะ โชคไม่มดีตอนเราไปกำลังมีการบุรณะปฏิสังขรอยู่
ด้านในจะมีพระพุทธรูปประธานพระวิหารหลวง พระเจ้าอุ่นเมืองพระพุทธรูปทองคำ และพระเจ้าอุ่นเมือง
มื้อเย็นกลับมาหาอะไรทานที่ลานข้างข่วงเมือง เป็นคล้ายๆ ถนนคนเดิน มีอาหารขาย มีที่ให้นั่งกลางสนามหญ้า เสร็จแล้วก็ถ่ายวิถีชีวิตยามค่ำคืน ได้ไปอีกบรรยากาศนึง

วันที่สอง
เราออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังอำเภอปัว เพื่อที่จะเดินทางต่อไปยังอุทยานแห่งชาติดอยภูคา คุณทราบไหมว่า...ที่น่านเพียงจังหวัดเดียวมีอุทยานแห่งชาติตั้ง 4 แห่ง เยอะจริงๆ
ระหว่างทางจากตัวเมืองน่านถึงอำเภอปัวทางดี สวย มีต้นไม้ร่มรื่น ระหว่างทางมีเล่นน้ำสงกรานต์กันประปราย
ปัวเป็นอำเภอเล็กๆ แต่ก็มีโลตัสเอ็กเพรสเปิดแล้ว เราเตรียมเสบียง น้ำไว้กันเหนียว
จากนั้นก็เริ่มหนทางคดเคี้ยวกันเลย (แต่ไม่ชันหรือทรหดเท่าทางจากดอยอินทนนท์ไปแม่แจ่ม) พี่บึกบึนพาเราค่อยๆ ไต่เขาขึ้นไปเรื่อยๆ จนไปถึงอุทยานแห่งชาติดอยภูคา เสียตังค์เข้าอุทยานแล้วเข้าไปเยี่ยมที่ทำการ อากาศที่นี่เย็นๆ ชื้นๆ ตอนกลางคืนขนาดหน้าร้อนอากาศประมาณสิบหกองศาเซลเซียสเท่านั้นเสียดายที่เรามาช้า ดอกชมพูภูคาเพิ่งร่วงไปเมื่อประมาณสองอาทิตย์ก่อน (ควรมาประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม) ปีนี้อากาศแปรปรวนทำให้ออกดอกช้ากว่าปกติ ที่นี่มีที่พักของอุทยานไว้ให้บริการ หากเป็นฤดูหนาวคงต้องจองล่วงหน้ากันนานๆ ถึงจะได้พัก
จากนั้นเราเดินทางมุ่งหน้าไปยังอำเภอบ่อเกลือ ที่แต่ก่อนชาวบ้านทำเกลือสินเธาว์กัน วันที่เราไปเขาหยุดสงกรานต์จึงไม่เห็นภาพ ที่บ่อเกลือมีที่พักหลายแห่งเหมือนกัน ที่บ่อเกลือมีแม่น้ำไหลผ่านชื่อแม่น้ำมาง จากนั้นเราแวะอุทยาน...ต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อขึ้นไปด้านบนเป็นอุทยาน (ไม่มีอะไรน่าสนใจนัก)
เรามุ่งหน้าต่อไปยังภูฟ้า เพื่อจะไปดูโครงการของสมเด็จพระเทพฯ และเราก็จองที่พักไว้แล้ว ไปถึงเย็นๆ พระอาทิตย์กำลังจะตก ไม่มีนักเดินทางมาเยี่ยมเยียนเท่าไรนัก เราไปติดต่อจะเข้าที่พัก ปรากฎว่าที่ทำการปิด (เมื่อเช้าเพิ่งโทรมา) โครงการโล่งว่าง คงจะปิดสงกรานต์ แต่เมื่อเช้ามีคนรับโทรศัพท์นี่นา ลองเดินๆ ดูคงจะมีคนเฝ้าบ้างล่ะ (เราคงไม่ต้องขับกลับไปที่บ่อเกลือนะ) ตอนแรกเดินไปไม่เจอใครเลย ลองอีกครั้งเจอน้องคนเฝ้า น้องเค้าก็ให้เราพัก ทั้งตึกมีเราอยู่กันเท่านั้น อาหารเย็นก็ไม่มีขาย ต้องซื้อโจ๊กกับมาม่าไว้ น้องให้ยืมกาต้มน้ำไฟฟ้า ไอ้เราก็ไม่รอบคอบ ไม่ได้อ่านซองโจ๊กก่อน มันเป็นโจ๊กแบบต้ม ฮาซิ รอดไปเพราะมีมาม่า ที่พักคืนละ 900 บาทรวมอาหารเช้า ไม่มีแอร์ มีแต่พัดลม ไม่มีตู้เย็น (ราคาหน้าท่องเที่ยวและไม่ท่องเที่ยวราคาเดียวกัน) ต้องขอบอกว่าที่พักอยู่ในป่าทำให้มีแมลงเยอะ หากเปิดไฟไว้แมลงจะมาเล่นไฟ ห้องพักวิวสวยมาก จะเห็นนาขั้นบันได และพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า

วันที่สาม
ตื่นมาเป็นนักคีตวิทยา วิจัยแมลง มีทั้งด้วง กว่าง ผีเสื้อชนิดต่างๆ น้องทำอาหารให้ทานในโรงครัวเลย เป็นกันเองมากกก น้องบอกว่ามาตอนนี้ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ ควรมาตอนหน้าหนาวมากกว่า
จากนั้นเราก็อยากแวะดูวิถีชีวิตของชุมชน มีผีตองเหลือง หรือเรียกว่าเผ่ามลาบลี  ด้วยแต่ไม่ให้ถ่ายรูป เราเลยผ่านไม่ได้เข้าไป
เราวางแผนจะกลับทางอำเภอสันติสุข แต่เมื่อถามตำรวจแถวนั้นเค้าบอกว่าอย่าไปเลยให้กลับไปทางเก่าดีกว่า เนื่องจากกำลังทำถนน ทางแย่มาก อันตราย เราก็ต้องกลับมาทางบ่อเกลือจนได้ เราเห็นวัดข้างทางกำลังมีพิธีในวัด เราก็พุ่งปรู๊ดไปขอเค้าถ่ายรูป หลังจากทำพิธีในโบสถ์แล้ว ก็มีการสรงน้ำพระ (ชาวบ้านเอาพระที่ตนบูชาที่บ้านมา) เสร็จแล้วก็สรงน้ำพระสงฆ์ ขนทรายเข้าวัด เขาเล่นสงกรานต์แบบน่ารัก อนุรักษ์วัฒนธรรมจริงๆ ไม่มีการสาดน้ำ เราก็โดนรดน้ำเหมือนกัน จากนั้นชาวบ้านชวนให้ไปดูการแข่งบั้งไฟที่ชาวบ้านทำกัน ซึ่งจัดอยู่กลางทุ่งนาใกล้ๆ วัดนั่นเอง การแข่งจะแบ่งรุ่นกันโดยชั่งน้ำหนัก มีสองกิโลกับสามกิโล แต่เสียดายเราไม่มีเวลามากนักที่จะรอดูการแข่งขัน
เราเดินทางกลับมายังอำเภอปัวอีกครั้ง แต่ไม่ได้ใช้เส้นทางเดิมที่ผ่านอุทยานภูคา ซึ่งไม่รู้ด้วยว่าเราพลาดที่จะเลี้ยวตรงไหน ทำให้เราต้องพาพี่บึกบึนไต่ไปตามไหล่เขา สองข้างทางเป็นเขาหัวโล้น ทางก็ซ่อม ถามคนขี่มอเตอร์ไซด์ผ่าน เขาก็เป็นชาวเขาพูดไทยไม่ได้อีก โชคดีมีทหารขี่ผ่านมาเขาก็บอกว่าทางนี้ก็ไปปัวได้ โอเคเราไม่หลง แต่ไม่ใช่ทางเดิมเท่านั้น ออกมาทางน้ำตกศิลาเพชร
ปัวจริงๆ ก็มีวัดเก่าแก่ให้เยี่ยมชม เช่นวัดพระธาตุเบ็งสกัด เป็นวัดไทลื้อที่เก่าแก่ สร้างด้วยไม้ เราไม่ได้เข้าไป เนื่องจากกำลังมีพิธีอยู่   วัดต้นแหลงเป็นวัดไทลื้อเก่าแก่ มีสิงห์คู่อยู่หน้าประตูโบสถ์
ที่ปัวยังมีต้นดิกเดียม ซึ่งเป็นต้นไม้ประหลาด ใบจะสั่นทุกครั้งที่สัมผัส
ระหว่างทางกลับเมืองน่าน ผ่านอำเภอท่าวังผา เราแวะวัดหนองบัว ซึ่งเป็นวัดไทลื้อที่เก่าแก่ สวยงาม ชอบที่สุดก็ดอกไม้ที่วัดนำมาติดไว้กับต้นไม้ใหญ่ ออกดอกเป็นเหมือนน้ำตกเลย หากนำมาปลูกที่กรุงเทพคงจะไม่งามอย่างนี้ ด้านในมีภาพวาดที่เก่าแก่พอๆ กับรุ่นปู่ม่านย่าม่าน
บ่ายคล้อยแล้ว ต้องรีบกลับเมืองน่าน เพื่อรอเก็บภาพเมืองน่านที่วัดพระธาตุเขาน้อย

22 ธ.ค. 2553

แบกเป้ตะลุยพม่า

 วันและเวลาการเดินทาง
1-11 ธ.ค.2550
การเดินทาง
ย่างกุ้ง-มัณฑเลย์-พุกาม-คะลอ-อินเลย์-ย่างกุ้ง


กลับมาแล้วครับ ไปพม่ามา
รู้สึกภูมิใจที่เกิดมาเป็นคนไทย จริงจริง
ใช้บริการแอร์เอเชีย บินแต่เช้าตรู่ สู่ย่างกุ้ง สนามบิน
มิงกลาดอน เหมือนได้ย้อนยุคไปประมาณ 20 - 30 ปี ได้
แท็กซี่นี่เก่าม้าก มาก เอาเป็นว่าไม่รู้ว่าจะไปถึงที่หมายรึเปล่า
คราวนี้ไปหลายเมือง เช่น ย่างกุ้ง มัลดาเล พุกาม อินเล
การคมนาคมยังแย่มาก ถนนขรุขระ เนื่องจากยังใช้มือซ่อม (ตั้งแต่ทุบหิน หยอดยางมะตอย ทุกอย่างทำด้วยมือหมด)
ไฟฟ้ายังใช้เครื่องปั่นไฟอยู่ เพราะไฟตก ไฟดับบ่อยมา (เป็นทุกเมือง) ไฟฉายจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องติดตัวไปด้วย
อาหาร ค่อนข้างมัน ไม่ค่อยมีรสชาติ แต่ดีที่มีพริกทอดทำให้อาหารอร่อยได้
ชอบ อย่างหนึ่งที่ไม่ต้องระวังขโมย ตอนแรกกลัวมาก ต้องถือของทุกอย่างไว้กับตัว ตอนหลังทิ้งไว้บนรถนั่นแหละ ทิ้งไว้อย่างไร ก้ออยู่อย่างนั้น
ขอทานเยอะมาก (รวมทั้งชีที่ขอเงินทำบุญ ถ่ายรูปเณรก้อขอเงิน ดูชาวประมงที่อินเลโชว์การจับปลา เสร็จแล้วก้อขอเงิน)
ด่านของทหารเยอะมากกกก
แบงค์ดอลล่าเก่าๆ หรือมีการขีดเขียนเขาจะไม่รับ ไม่รู้เพราะอะไร แม้แต่ที่สนามบินยังไม่รับเลย
เด็กๆ ขายของตามสถานที่ท่องเที่ยวน่ารักมาก
ประทับใจเมืองทางเหนือของพม่ามากกว่า เชิญชวนพี่น้องไปเที่ยว ประเทศเขายังสดอยู่ 

เราใช้บริการแอร์เอเชียอีกเช่นเคย

พอรับกระเป๋าเสร็จจะมีแท็กซี่เข้ามาตีซี้มากมาย
ให้ใช้บริการเรียกแท็กซี่ที่เคาน์เตอร์เท่านั้น จะปลอดภัยที่สุด

เราแลกเงินในรถแท็กซี่ เหตุเพราะเขาให้ rate ดี
อ่านๆ มาเขาให้แค่ดอลล่าละ 800-880 จ๊าดเท่านั้น
แต่นี่ให้ถึง 1150 เลยแลกไป100 ดอลล่า
เราไปที่ อองซาน สเตเดียมก่อน เพราะจะซื้อตั๋วไป Golden Rock แต่ตั๋วเต็ม
เนื่องจากติดเสาร์อาทิตย์ จึงเปลี่ยนแผนไปแมนดาเลย์ก่อน
รถจะออกจากท่าประมาณ 4โมงครึ่ง
ที่นี่มีทีี่แลกเงินอีก ปรากฎว่าอัตราดีกว่าอีก
ได้ 1250 จ๊าดเลยแลกอีก ตอนนี้รวยมาก จากแบงค์ 1 ใบ (100ดอลล่าร์)
มาเป็นฟ่อนเลย แนะนำว่าควรมีซองหรือถุงเล็กๆไปใส่ 
เพราะกระเป๋าตังค์เอาไม่อยู่

ระหว่างนั้นจึงไป Sule Pagoda ก่อน โดยไปแวะกิน Pizza ที่ Pizza Corner เพื่อฝากเป้ไว้
จะได้เดินสบายๆ
และนี่ Sule Pagoda ต้องถอดรองเท้าเข้า (ต้องถอดทุกที่ เราใช้วิธีเอารองเท้าใส่ถุงพลาสติกหิ้วไป)
เสียค่าเข้าคนละ 3 ดอลล่า


 


Sule Pagoda อยู่ตรงกลางถนน จะต้องระวังรถชนมาก
เนื่องจากรถขับกันแบบไร้ระเบียบจริงๆ จ้า
ข้างๆ จะเป็น City Hall แบบอังกฤษที่ยังทิ้งกลิ่นไอตะวันตกไว้
จากนั้นเราไปแวะกันที่ไม่ควรพลาด หากพลาดแสดงว่ามาไม่ถึงย่างกุ้ง
นั่นคือ เจดีย์ชเวดากอง นั่นเอง

เจดีย์รอบๆ
พระพุทธบาท
จะเล่าว่าที่ Sule เจอพระพม่าเข้ามาตีซี้ ถามว่ามาจากไหน นู่นนี่
แล้วเดินตามทำตัวเป็นไกด์ อธิบาย แล้วแนะให้แวะชเวดากองก่อนค่อยไปที่ท่ารถ
แล้วพระก็ติดรถไปด้วย ไปชเวดากอง ก็ทำแบบเดิม
แล้วยังติดรถไปลงที่ท่ารถ
ยิ่งไปกว่านั้น ขอตังค์ 7000 จ๊าดบอกว่าจะกลับบ้านต่อเหลือ 3000 จ๊าด
ตอนจะกลับกรุงเทพแวะชเวดากองตอนกลางคืนเจอพระคนนี้อีก
มองมันแบบไม่กระพริบตามันต้องหลบไปเลย
ระวังนะจะบอกให้


หลังจากนั้นได้ไปหมอชิต เอ้ยไม่ช่าย
แย่กว่านั้นฝุ่นตะลบไปหมด รถแต่ละคันก็เก้าเก่า
รถเรามีแอร์แต่สภาพแย่ มีคนขายของเต็มไปหมด
เรามาปุ๊ป โดดขึ้นรถปั๋ปเลย เพราะใกล้เวลาแล้ว
ได้ที่นั่งหลังสุดเลย
เราใช้เวลาอยู่ในรถประมาณ 15 ชม. ได้ แวะลงจากรถประมาณ 4 ครั้ง
หยุดระหว่างทางอีกไม่รู้กี่ครั้ง จริงๆ ระยะทางไม่ได้ไกลเลย
ถนนแย่มาก นั่งจนเมื่อยสุดๆ

แล้วเราก็ไปถึงท่ารถที่ Mandalay

เราเข้าพักที่ Woodland อยู่ทางด้านเหนือของวัง
เหมือนรีสอร์ทพนักงานน่ารักเป็นกันเองมากมาก
ขอแนะนำ ราคา 25 ดอลล่าร์/คืนรวม ABF
และนี่ Mandalay Palace 

bird eyes view
ค่าเข้าวัง+อีกหลายที่รวมกัน 10 ดอลล่าร์
วังนี้สร้างด้วยไม้สักทั้งหมด
ข้างในไม่ค่อยมีอะไรแล้ว
มีเครื่องราชกุตภัณฑ์โชว์นิดหน่อย

แม่ชีที่mandalay ชุดสีชมพูสดใส
มีพัดบังแดดด้วย อ๋อแดดค่อนข้างแรงจ้า

ตอนแรกเช่าจักรยานขี่
ตอนหลังไม่ไหวรถราขวักไขว่ กลัวเอาชีวิตไม่รอด
เลยเช่าเหมารถคล้ายๆ กะป๊อรุ่นเก่าบ้านเฮา
แบบนี้ไง
โชคดีมากมาก คนขับใจดี น่ารัก แม้จะพูดอังกฤษไม่ได้แต่เข้าใจภาษาได้พอใช้
เราใช้ชี้ตามแผนที่
ไปไหว้พระมหามุนี งามมากก
แต่ไม่ได้ไปตอนตี 4 ที่จะมีล้างหน้าท่าน ทุกเช้า
แต่ก็ได้น้ำล้างหน้ามาประพรม เพื่อความเป็นสิริมงคล
ผู้หญิงไม่สามารถเข้าไปติดทองได้
หากจะให้เขาติดให้ต้องจ่าย 1 ดอลล่า (รวมทอง)

นกฮูกเป็นของเซ่นไหว้พระ
เพื่อให้มีโชคดี เป็นสิริมงคล

Mandalay hill จากคูน้ำรอบ วัง
ไปดูตลาดที่ Mandalay นี่คือ ทานาคา แบบสดๆ
ไม่มีผสม เขาจะเอามาถูบนแท่น คล้ายๆ ลับมีด
ใส่น้ำหน่อย ได้แล้วก้อทาหน้าได้เลย

 แบบนี้เห็นเป็นธรรมดาจ้า
ทูนมากกว่านี้ยังมีเลย
 
สาวพม่าสวยมั๊ยเอ่ย
ร้านขายขนมจีนในตลาด
ลองนั่งทาน จานละ 300 จ๊าด
ไม่กล้ากินแบบแห้ง ใส่ น้ำมัน กลัวท้องเสีย
เลยกินแบบใส่น้ำแกงร้อนๆ
น่ากินมั้ยจ๊ะ
ของสำหรับไหว้ จะเป็นกระดาษพับเป็นร่มเล็กๆ สีเงินบ้างทองบ้าง
ร้านค้าระหว่างทางเดินเข้าไป มหามุนี
สินค้าเหล่านี้จะเห็นทั่วไปตามสถานที่ท่องเที่ยว

โชคดีมากตอนไปเขากำลังตั้งขบวนทำพิธี
ทุกคนแต่งเต็มยศ

พระที่วัดพระมหามุนี
แปลกดีนะ สามารถคลุมศีรษะได้ด้วย
ขายไอติม รอบๆ โบสถ์ที่มหามุนี
โคนสีสันน่ากิน
แต่ไม่กล้ากิน

เด็กพม่า
แม้เด็กชายยังปะทานาคาเลย

อาหารพม่า นี่แค่เครื่องเคียงนะ
เยอะพอๆ กับอาหารเกาหลีมั๊ย

เด็กน้อยคนนี้น่ารักมาก
ขายpostcard  1 ดอลล่าร์ 1 ดอลล่าร์
โตขึ้นคงจะสวยน่าดู

เราไป Inwa เป็นเมืองเก่าอยู่ใกล้ๆ มัณฑาเลย์
(ไปโดยรถกะป๊อ เช่าเหมาวันละ 12000 จ๊าด)
ที่Inwa เราต้องนั่งรถม้าเท่านั้น ไม่สามารถเดินเที่ยวได้
นี่เป็นวิว Inwa จากหลังรถม้า

นี่ที่ BAGAYA Monastry ปลูกด้วยไม้สัก ไม่รู้กี่ต้น
แต่ละต้นไม่สามารถโอบรอบได้
ตอนไปพระกำลังสอนเณร และเด็กๆ อยู่ สวดมนต์กันเสียงดังเร็วเป็นจรวด
แต่พอจะฟังออกว่ากำลังท่องนะโมอยู่

ขอโทษนะครับ
นันเบลอไปหน่อย
เณรนั่งยองๆ สวดมนต์

นี่ก้อเป็นวัดเก่าที่ Inwa
หอเอนชมวิวรอบเมือง INWA 
หุ่น Puppet ทหารทำจากไม้
ร้านขายรูปข้างทาง
ภาพวาดคุณภาพสู้เวียดนามไม่ได้เลย

ปราสาท หรือวัด ที่ Inwa
รถม้าที่ใช้เป็นพาหนะที่ Inwa
เรือข้ามฟากไป Inwa
คนขายของก่อนลงเรือไป INWA
หลังจากไป INWA เอ... เมืองนี้น่าจะเป็นเมือง อังวะรึเปล่า
ใครทราบบอกด้วย
ไปต่อที่ อมระปุระ เป็นเมืองหลวงเก่าเหมือนกัน
ที่นี่มีสะพานไม้สักยาวสุดลูกหูลูกตา ชื่อสะพาน U Bein
ซึ่งทุกคนมักจะไปดูพระอาทิตย์ตกที่นี่

มีคนจับนกเค้าแมว นกฮูกมาขาย เพื่อปล่อยทำบุญ
จะเห็นพระหลายรูป อยู่ในหลายอริยาบทที่สะพานนี้
สวยมั๊ย หลังพระอาทิตย์อัสดง
มีต้นไม้ตายด้วย ดูติสจัง

พระอาทิตย์กำลังจะตกแล้ว
คืนนี้กลับไปนอน woodland อีกคืน
พรุ่งนี้เช้าจะล่องเรือไปพุกาม ภาษาฝรั่งเรียก BAGAN
เรือออก 7โมงเช้า ใช้เรือของบริษัท SHWE KEINNERY FLEET
เรือใหญ่ใช้ได้ มีแต่ต่างชาติเท่านั้น ขอโทษว่าจำไม่ได้ว่าราคาเท่าไร
แต่นั่งตั้งแต่ 7 โมง ถึง 3 โมงเย็น

ล่องอิระวดี จะผ่านเมือง Saging
การล่องเรือที่นานเนื่องจากไม่สามารถไปตรงๆ ได้ ต้องซ้ายทีขวาที
เพราะตรงกลางเป็นสันดอน

ริมฝั่งน้ำ ฝั่งโน้นคือเมือง Saging
มีบ้านริมน้ำ
เรือบรรทุกไม้สัก ผ่านไปลำแล้วลำเล่า
เยอะมาก อุดมสมบูรณ์มาก

ชาวบ้านริมฝั่งน้ำเตรียมตัวมาขาย กล้วย ส้ม
เมื่อเรือจอด เพื่อเปลี่ยนพนักงานบนเรือ ชื่อเมือง Myinmu
บางคนลงทุนท่องน้ำมาขายเลย

บนเรือมีข้าวมีน้ำขาย เป็น ดอลล่าร์
บะหมี่ผัดราคา 2 ดอลล่าร์
และในที่สุดเราก้อมาถึงพุกามแล้ว เย้

ต้องเสียค่าเข้าที่ท่าเรือ คนละ 10 ดอลล่าร์ให้โชว์ Passport ด้วย
แล้วก็นั่งรถตู้เหมา 3000 จ๊าดไป Guest House ชื่อ เมขลา ที่เมือง Ngaung U
อยู่ด้านเหนือของพุกาม คืนละ 12 ดอลล่าร์มีแอร์ น้ำร้อน TV
พักผ่านซักหน่อย เดินไปทานข้าวเย็นที่ร้าน Little Bit of Bagan เป็นถนน
ที่มีแต่ร้านอาหาร แต่งน่ารักๆ แล้วเราก้อไปเดินย่อยที่ SHWEZIGON PAGODA

แล้วตอนเช้ากลับมาชมใหม่ ตอนกลางคืนกับตอนกลางวันมันแตกต่างกีน
(วันนี้เราเช่ารถม้า แบบเหมาทั้งวัน 12000 จ๊าด)

กลางวัน
นี่ของจริง ทะเลเจดีย์ จริงๆ มีทั้งหมดประมาณ 5000 องค์
แต่เจอแผ่นดินไหว เหลือตอนนี้ประมาณ 1000 กว่าองค์ได้
น่าเสียดาย

ตุ๊กตาไม้ เป็นหัวคนมีเชือกอยู่ด้านหลัง
หากดึงเชือกจะมีลิ้นแลปออกมา

เลยถ่ายรูปนี้มาเปรียบเทียบ
ที่ที่ดูพระอาทิตย์ขึ้นได้ดีคือ MI-NYEIN-GON
พระอาทิตย์ตกต้องไปจองที่กัน เพราะนักท่องเที่ยวจะเยอะมาก
ที่ SHW SAN DAW

ANANDA TEMPLE สร้างในศตวรรษที่ 11
ชมอีกที
กลางวันทานอาหารพม่าที่ร้าน Golden Myanmar เป็นบุฟเฟ คือทานหมดแล้ว
ขอเติมได้ไม่อั้น ราคาหัวละ 1500 จ๊าด

เช้ารุ่งขึ้นต้องรีบตื่นแต่เช้ามึด เพื่อเดินทางต่อไป KALAW
รถมารับหน้าโรงแรม 4.45 น.เป็นรถ local ราคา 7000 จ๊าด
ตอนแรกก้อดู OK มีแต่ต่างชาติ แต่ตะหงิดๆ ตั้งแต่เห็นเก้าอี้พลาสติกแบบนั่งกิน
ก๋วยเตี๋ยวแล้ว ซักแป๊ป รถไปจอดที่ท่ารถมีคนท้องถิ่นขึ้นมาอัดเป็นปลากระป๋อง
ตรงกลางทางเดินยังเอาเก้าอี้ที่ว่าวางให้คนนั่งอีก ระหว่างทางรับคนไปเรื่อย
ที่ไม่พอขึ้นไปนั่งบนหลังคนก้อมี
ถนนขรุขระมากกว่าขาไปมัณฑะเลย์อีก พักข้างทางก้อจะมีขอทาน
ที่ร้านน้ำชาจะมีขายโรตี หากใส่ไข่เขาจะตอกไข่แล้วเอานิ้วคนๆ ให้
ฝุ่นเยอะม้ากมาก ผมเป็นสังกะตังเลย
ระหว่างทางจะมีรถเสีย เช่นล้อหลุด เสีย ตะแคงข้างที่โค้งตอนขึ้นเขา
ต้องนั่งภาวนาไปตลอดทางว่าขอให้รอดปลอดภัย

รถที่นั่งไปkalaw
ที่ kalaw มีร้านรวงต่างๆ มีพาไป treking ด้วย
ค่าโทรศัพท์กลับบ้านเรานาทีละ 3 ดอลล่าร์

ตลาดเช้า มีของสด ผัก ผลไม้ ดอกไม้มาขาย
อากาศหนาวมาก
ที่นี่พักที่ WINNER HOTEL ก้อ OK ใกล้ตลาด ท่ารถ
แต่เสียงจะก้องมาก เพราะเป็นตึก นอนไม่ค่อยหลับ

มะเขือม่วงสดๆ จ้า
ตาชั่งของเขา
ต้องผ่านการฝึกลูกเสือมาก่อน555

แขกขายปลาท่องโก๋
ตัวยาวเหมือนที่ฮ่องกงเลย ตัวละ 200 จ๊าด

พระนั่งรอรถบัส ที่ท่ารถ
ตลอดทางจะเห็นรถเสียเช่นนี้
ดูสภาพถนนแล้วกัน
ว่านี่โลกพระจันทร์รึเปล่า

จาก KALAW เรานั่งรถบัสไปยังเมือง SHWENYAUNG ซึ่งเป็นทางแยกที่จะเข้า
สู่ INLAY LAKE ถนนช่วงนี้ดี ไม่แย่เหมือนวันก่อนที่ผมเปลี่ยนสีไปเลย
คนขับใจเย็นรถออก 7.45 ไปถึง 1.30 น.
แล้วต้องนั่งรถกระบะเข้าไป ยองชเวยอีกคนละ 1000 จ๊าด
ต้องเสียค่าเข้า INLAY คนละ 3 ดอลล่าร์
เข้าพักที่โรงแรม TEAK WOOD  คืนละ 25 ดอลล่าร์
โรงแรมน่ารักดี เจ้าของพูดเก่ง มีที่นั่งเล่นด้วย
เราเช่าจักรยานขี่คนละคัน วันละ 1000 จ๊าด ทานข้าวที่ร้าน VICTORY
เป็นบ้าน เขาทำก๋วยเตี๋ยวฉานอร่อยมาก

ภัตตาคารกลางน้ำที่ Inlay

บ้านทุกหลังจะสร้างอยู่ในน้ำ
อย่างนี้

เขาจะใช้เท้าพายเรือ
(ไม่ต้องนั่งพาย) ยืนพายสบายดี
หากเราลองไปพายบ้าง คงจะตกน้ำตกท่าเป็นแน่

โรงเรียน ของเราน่าอยู่ คุณครูจายดีทุกคง
ฮ่า ฮ่า เด็กๆ ต้องพายเรือไปโรงเรืยน ที่อยู่กลางน้ำนั่นไง

กางเกงจาหลุดแย้ว
นี่ชุดเก่งไปโรงเรียน
จะต้องเป็นผ้าถุงถ้าเป็นผู้หญิง
ผู้ชายจะใช่กางเกงสีเขียว
ทั่วประเทศ

เวลาว่างของเณร
ขอเล่นว่าวหน่อย

ตลาดน้ำจ้า
จะมีทุกวัน แต่จะเปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ
ที่นี่เรียก NAMPAN
จะมีของที่ระลึกขายเพียบ
เรือยังไม่จอดแต่จะมีเรือขายของเข้ามาประกบเรือเรา
บนฝั่งก้อมี การต่อราคา ต่อแบบสุดๆ แบบไม่เอาแล้วเดินไป
หากได้เขาจะ OK หากไม่ได้จะมีบ่นเล็กน้อย แล้วก้อไม่ให้
อยากได้ต้องกลับไปอัพราคาให้อีกหน่อย

ของจะเป้นพวกพระไม้ ลูกปัด
จะมีอาหารขายด้วย
ที่อร่อยคือ เต้าหู้รัฐฉาน ทอด
เวลาใส่จาน เขาจะใส่น้ำมันเล็กน้อย มีกะหล่ำปลีซอย
อยากให้ลองดู เอาจานเล็ก ก้อได้ 300 จ๊าดใหญ่ 500 จ๊าด
แล้วก้อมีของทอดๆ เช่น ปอเปี๊ยะ ซาโมซา (แขกขาย) ก้อ OK 

ไปดูหมู่บ้าทำผ้าไหม
ไม่น่าจะสู้บ้านเราได้นะ

หมู่บ้านตีเหล็ก ตีมีด
หมู่บ้านนี้ทำยาสูบ
มีให้ลองด้วย
คนนึงวันหนึ่งต้องมวนได้ 1000 อันจึงจะกลับบ้านได้
พระพุทธรูปงามากมาก
อยู่ใน Monastry ใกล้กับวัดผ่อง ดอ อู
พระบัวเข็ม ที่วัดผ่อง ดอ อู
มี 5 รูป คนนับถือมากมาก ติดทองจนองค์กลมไม่เห็นว่าเป็นพระพุทธรูปแล้ว
ทุกปี เดือน ตุลาจะมีการเฉลิมฉลอง
นำท่าน 4 องค์ลงเรือล่องไปทุกหมู่บ้านใน INLAY เลย
ผู้หญิงดูไกลๆ ไม่สามารถติดทองได้เหมือนเคย

หมู่บ้านทำกระดาษสา เหมือนเชียงใหม่บ้านเฮาเลย
ทำร่มจากกระดาษสา

เจดีย์ที่ U tain
คนศรัทธามาก เลยมาสร้างเจดีย์ไว้เพียบ
มีของคนไทยด้วย มี 3 องค์ องค์หนึ่งคนสร้างมาจากเมืองชล
วิวยามเย็นที่ INLAY
อากาศดีมากๆ
นั่งเรือหางยาว หลับไปเลย

Monastry ที่ทางเข้ามา INLAY
เราไม่ค่อยมีเวลามากนัก ต้องใช้วิธีบินบ้าง
เราออกเดินทางจาก INLAY ไป HEHO เพื่อขึ้นเครื่องกลับสู่ย่างกุ้ง
โดยเช่า TAXI ไป ราคา 16000 จ๊าด
ใช้สายการบินแอร์บากัน
ดูดีที่สุดแล้ว แต่ไม่มีระบุที่นั่ง
รูปนี้ที่เห็นด้านหลัง แบ่งชายหญิง หลัง X-ray กระเป๋า มองไปนึกว่าห้องน้ำ
ไม่ช่าย เค้าค้นตัวก่อนขึ้นเครื่องจ้า

baggage Handling จ้า
เครื่องบินที่เรานั่งกลับย่างกุ้ง
ราคา84 ดอลล่า

หรือจะไปลำนี้เล่า
พอถึงย่างกุ้งเราก็ไปที่ท่ารถต่อ เพื่อจะไป Golden Rock
ที่เมือง ไจฑิโย นั่งรถประมาณ 5 ชั่วโมงค่ารถ 4000 จ๊าด ไม่มีแอร์นะ
ตอนแรกดีใจได้นั่งข้างหน้าสุดจะได้ดูวิว
หารู้ไม่ เห็นแต่ตูดหม่อง เพราะเขาให้คนยืนเต็มไปหมด แน่นเป็นปลากระป๋อง
คิดดูนะ 5 ชม. เกือบตาย รถหยุดบ่อยมาก
คนโบกก็หยุด ทั้งๆ ที่ไม่มีที่จะขึ้นแล้ว
เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู

พอไปถึง Kampun camp ต้องนั่งรถ 6 ล้อ ต่อไปอีก
ด้านหลังของรถ 6 ล้อจะเอาไม้กระดานมาพาดไว้เกือบ 10 แถว
ให้นั่งแถวละ 6 คน แล้วขนาดอย่างเราจะให้เบียดยังงัยไหว
(ที่นี่เราเจอกลุ่มคนไทย 3-4 คน )
เราต้องเลือกนั่งด้านหลังสุด จะได้ไม่ต้องไปเบียดกับหม่อง
ได้เฝ้ากระเป๋าด้วย มีที่ด้านหน้าข้างคนขับเหลือ
คนปล่อยรถไม่ยอมไป พยายามให้เรา (ในที่นี้หมายถึงคนไทย)
ไปนั่ง เพราะด้านหลังราคาคนละ 800 จ๊าด แต่ถ้านั่งหน้า คิดคนละ 2000 จ๊าด
พี่เขาคงรำคาญต่อเหลือ 1500 แล้วเขาก้อไปนั่งให้
พอลุกด้านหลังก้อว่าง รถก้อยังไม่ยอมออก จะเอาให้เต็มให้ได้
รู้สึกแย่มาก ค่ำแล้วยังเจอคนโลภมากอีก แย่จริงๆ

กว่าจะไปถึงที่ Golden Rock จะต้องปีนขึ้นเขาอีก
อ๋อที่เราต้องไป เนื่องจากจองห้องพักไว้ที่ Mountain Top Hotel น่าสิ
เขาชันมากกว่าที่คิด เดินไกลกว่าที่คิด
แม้จะมีลูกหาบ หาบเป้ให้ คิดใบละ 2000 จ๊าด
ยังเดินไปหยุดไป แต่ดีนะขึ้นตอนกลางคืน อากาศเย็นสบายหน่อย
แต่มีคนยกเสลี่ยงเดินตามตลอด
มีพูดเยาะด้วยว่า เดินอย่างนี้ ตี 2 ก้อยังไม่ถึง
ยิ่งทำให้เราจะต้องเดินให้ถึง

พอถึง โรงแรมพักสักครู่ แล้วออกมาดูพระธาตุอินทร์แขวนตอนกลางคืน
คนพม่าขึ้นมากันหนาแน่นมาก
เขามานอนฟังพระสวดกันที่ลานเลย คงคิดว่าได้ฟังพระเขาก้อได้บุญนะ

นอนกันเกลื่อนเลย ต้องคอยเดินหลบ
รูปนี้ถ่ายจากห้องนอนนะ
ทะเลหมอกสวยดี

พระธาตุตอนกลางวัน
ตอนเช้าเข้าไปไหว้พระธาตุอีกครั้งก่อนกลับ
เมื่อคืนคนเยอะมาก ทำให้ตอนเช้าเราจะเห็นขยะเต็มไปหมด
แย่จริงๆ
ขาลงกลับมาเจอคนไทยบางคนเขาขึ้นมาแต่เช้ามึด แล้วลงมาพร้อมกัน
เขาพักข้างล่าง
เราคิดดีแล้วที่ขึ้นไปนอนข้างบนจะได้พัก หากขึ้นแล้วต้องลงเลยคงจะเหนื่อยแย่
ระหว่างทางเดินลงมา เห็นพม่าขายยาดองเป็นกาละมังในนั้นมีตะขาบมีสาระพัดสัตว์เลย
คงจะเป็นยาโด๊ป

อ๋อ จะเล่าว่าลูกหาบเราเขาคิดค่ากระเป๋า 3 ใบราคา 7 เหรียญ เราก้อจ่ายไปโดยให้แบงค์ 5 เก่า และ
1 ดอลล่า 2 ใบ ปรากฎว่าเขาไม่เอาแบงค์เก่า ให้เปลี่ยนใหม่ เราไม่มีแบงค์ใหม่ อีกใบก้อเป็น 100 ดอลล่าเลย
เขาจะเอา 100 ดอลล่า เราก้อไม่ให้ สรุปที่สุดเรามีแบงค์ 1 ดอลล่า 3 ใบใหม่ๆ เขาก้อเอาแค่ 3 ดอลล่าเท่านั้น
ไม่เข้าใจจริงๆ ทุกที่จะไม่รับแบงค์ดอลล่าเก่าๆ แม้แบงค์ใหม่แต่มีรอยเขียนด้วยปากกา เขายังไม่เอาเลย
(ที่แอร์พอร์ตที่ต้องจ่าย 10 ดอลล่า ก้อไม่เอา)
พอลงมาถึงต้องแย่งกับคนท้องถิ่นเพื่อขึ้นรถ 6 ล้ออีก เพราะเราต้องลงมาให้ทัน
รถบัสรอบเที่ยง

รถบัส ขากลับจะดีกน่อย เป็นรถบัสปรับอากาศ ไม่มีคนยืน แต่มีคนนั่งตรงกลาง
เขาว่าจะแวะที่เดียว คือที่พระธาตุอะไรซักอย่างประมาณ 10 นาที
แต่ที่รู้ๆ น่ะแวะพระธาตุ 2 ครั้ง แวะร้านน้ำชาอีกครั้ง
นั่งทั้งหมด 5 ชม. เหมือนกัน กว่าจะกลับถึงย่างกุ้งก้อนู่น ทุ่มนึงได้
เราลงระหว่างทาง แล้วเรียกแท็กซี่ไปหาโรงแรมพัก

แล้วมาหาอาหารไทยทาน
ที่ร้าน SABAI SABAI
คนแน่นมาก ดูร้านภายนอกแล้วดูหรู แต่อาหารไม่แพงอย่างที่คิด
ต้มยำกุ้ง รสชาติไม่จัดจ้าน ยำหมูค่อนข้างเค็ม
ผู้จัดการไม่น่าจะใช่คนไทยนะ
ท่าทางและการบริการไม่น่าใช่

แล้วเราก้อกลับไปชเวดากองอีกในตอนกลางคืน
ปิดเวลา 4 ทุ่ม
ขึ้นลิฟท์ไป
เขาจะมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจว่า คนต่างชาติจ่ายเงินแล้วรึยัง 5 ดอลล่า
หากจ่ายแล้วจะมีสติ๊กเกอร์เป็นรุปดอกไม้ติดหน้าอก และตั๋ว


นี่คือ ชเวดากองตอนกลางคืน
ทองอลังกว่ากลางวันนะ

และแล้วการเดินทางก้อต้องจบสิ้นลง
วันรุ่งขึ้นเราต้องรีบไปสนามบิน เพื่อขึ้นเครื่องกลับสู่มาตุภูมิ
โดยแอร์เอเชีย (เรามาเช้าก้อต้องกลับเช้า) เครื่องมาส่งคนปุ๊ป เราก้อขึ้นเครื่องกลับเลย
ที่สนามบินอย่าลืมว่าต้องจ่ายค่าภาษีสนามบินคนละ 10 ดอลล่า
แล้วเราก้อต้องโบกมือลาพม่าแล้ว บ๊ายบาย
ขอขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมเยียน และให้คำแนะนำครับ
แล้วเจอกันใหม่ในไม่ช้า